ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

เพื่อความจริง

๑๒ ก.ย. ๒๕๕๒

 

เพื่อความจริง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้พูดเรื่องเว็บไซต์ เดี๋ยวเราจะค่อยๆ พูดไปให้เห็นภาพไง ทุกคนมองไม่เห็นภาพ เราจะค่อยๆ คุยให้เห็นภาพ สังเกตได้ไหมเวลาหลวงตาออกมาช่วยโลก ท่านพูดบ่อยมากเลยว่า พวกเราทุกคนก็เห็นว่าจะเอาทองคำเข้าคลังหลวง จะช่วยโลก ช่วยโลก แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าธรรมะจะได้ออกเห็นไหม ท่านบอกว่าท่านหวังเลยว่า ธรรมะมันจะได้ออกคราวนี้ ธรรมะมันจะได้ออกคราวนี้

แต่พวกเราเห็นแต่ว่าเป็นการเพราะพวกเรานี่ง่อนแง่น พวกเรานี่มีความทุกข์มาก หลวงตาจะมาช่วยเหลือการประกอบอาชีพ เราเป็นวัตถุที่เราจับได้ แต่เราไม่เห็น เราไม่เห็นว่าธรรมะ ธรรมะจะได้ออก ธรรมะมันเข้าถึงหัวใจไง นี่ก็เหมือนกันที่ว่าเว็บไซต์ของเรา ออกเว็บไซต์เพื่อจะไปทำลายใคร ไปเจาะจงใคร ไม่ใช่เลย ! ไม่ใช่เลย ! เพราะเราคิดเรื่องนี้มานานเนกาเลแล้ว มานานเนกาเลแล้ว คิดตั้งแต่สมัยไอ้อะไรนะ อะไรที่มาจากนครปฐม ใช่ไหม มันบอกเลย ต่อไปนะเว็บไซต์มันจะเร็วมาก พวกในป่ามันก็ไปหมด

เรายกแบบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเวลาเทศน์ปัญจวัคคีย์ พระ ๕ องค์เท่านั้นนะ ธรรมจักร ธรรมจักรมันเป็นหัวใจเลย มันเป็นหัวใจเลย ธรรมจักร ๕ องค์เท่านั้น แต่มันยังอยู่มาได้จนขนาดนี้ อันนี้ก็เหมือนกัน ในนี้เราไม่ได้เจาะจงตรงนั้น เพียงแต่ว่าคนเรามันไม่เข้าใจรู้ไหม คนเราไม่เข้าใจ ถ้าเป็นคนที่มีคุณธรรมในหัวใจ มันจะเป็นประโยชน์หมดล่ะ

แต่ถ้ามันไม่เป็นคุณธรรมในหัวใจ เวลามันเสนอศาสนา แนวทางมันแตกต่าง พอแนวทางมันแตกต่าง แต่เราไปดูรูปแบบภายนอกไง รูปข้างนอก โอ้โฮ.. มันน่าเชื่อถือ มันน่าศรัทธา ว่าเป็นธรรมะ ธรรมะ มันไม่ใช่ ถ้ามันไม่ใช่เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะเวลาเขาพูด ที่เราพูดประจำเห็นไหม เรารับไม่ได้เลย รับไม่ได้ที่บอกว่า เวลาบอกว่าพุทโธนี่เห็นไหม คนกำหนดพุทโธ พุทโธไม่ต้องกำหนด ไอ้นี่มัน..เพราะอะไร

เพราะแนวทางการปฏิบัติมันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แล้วครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่นก็สอน “พุทโธ” สอนพุทโธ รู้ว่าสอนพุทโธหมดล่ะ แต่เขาบอกว่าให้ไปดูจิต แล้วพุทโธนี่มันหลงงมงาย นั่น เขาบอกว่าไปโจมตีเขา ไปโจมตีเขา แล้วเวลาเขาพูดอย่างนี้ เขาโจมตีใคร เวลาเขาบอกพุทโธนี่ผิด ผิดกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ผิดกันมาตลอด ชาวพุทธหลงใหล ชาวพุทธผิดพลาดมาทั้งชีวิต ชาวพุทธผิดมา คำพูดอย่างนี้ เขาพูดออกมานะ พูดออกมาแล้วเขาโจมตีคนอื่นหรือเปล่า เขาโจมตีหรือเปล่า ในเมื่อเขาโจมตีมา แล้วถ้าเขาโจมตี

เราคิดเหมือนครูบาอาจารย์นะ เหมือนพวกเราเห็นไหม ดูสิเวลาพระพุทธเจ้าเทศนาว่าการ ต้องการให้พวกเรามั่นใจในศาสนา มั่นใจในการประพฤติปฏิบัติ ทีนี้พอเขาพูดให้พวกเราไม่มั่นใจ ว่าเราทำได้ประโยชน์ไหม ถ้าพูดให้มั่นใจนะ แล้วถ้าเป็นของจริง เป็นสิ่งที่เป็นความจริง คนเราทุกคนปรารถนาดี ทุกคนอยากทำดี เราจะไปพูดยุยงให้คนเขาแบบว่า คลอนแคลนไหม ไปพูดให้เขาไม่เชื่อมั่น ไปพูดให้เขาไม่มั่นคงในการปฏิบัติ ไม่ทำจริง อันนี้เป็นอะไร

เรามองตรงนี้ ที่เราพูดเรามองตรงนี้ ได้พิสูจน์หรือยังว่าพุทโธมันมีผลหรือไม่มีผล ได้พิสูจน์หรือยังอานาปานสติทำแล้วได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ ได้พิสูจน์หรือยังว่าการดูจิตมันทำแล้วได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ พิสูจน์สิ ! มันต้องพิสูจน์กันก่อน ทีนี้ถ้าพิสูจน์แล้วนี่ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ เราไม่ได้พูดนะ เหมือนไม่ใช่ว่าเราจะมาอวดตัวนะ

เวลาเราปฏิบัติกับครูบาอาจารย์ทุกองค์ แนวทางไหนที่เขาสอน เราจะทดสอบเลย ลองทำตามที่เขาสอนทั้งหมด แล้วทำให้ได้ แล้วทำถึงที่สุดแล้ว มันมีผลหรือไม่มีผลมันจะรู้เลย แล้วรู้แล้วจะรู้ว่าอาจารย์นี้สอนผิดหรือสอนถูก มันทดสอบมาหมดไง มันทดสอบมา

ฉะนั้นอย่างเช่นบอกดูจิต ถ้าลูกศิษย์กรรมฐานเรานี่แหละ บอกว่าเวลาพูดถึงหลวงปู่ดูลย์ หลวงตาท่านจะเฉยๆ ท่านจะไม่ค่อยพูดถึงเลย เขาบอกขนาดหลวงตายังไม่อะไร แต่ทำไมเราประกันว่า เรายอมรับหลวงปู่ดูลย์ล่ะ แล้วเรายอมรับหลวงปู่ดูลย์ด้วย แล้วหลวงปู่ดูลย์ เวลาเราบอกหลวงปู่ดูลย์มาสอน มาเอาหลวงปู่ฝั้น มาเป็นคนญัตติ แล้วหลวงปู่ฝั้นท่านสอนมา “พุทโธสว่างไสว พุทโธผ่องใส” ระหว่างหลวงปู่ดูลย์เป็นอาจารย์ กับหลวงปู่ฝั้นเป็นลูกศิษย์ ทำไมพุทโธหลวงปู่ฝั้นไม่ขัดแย้งกับหลวงปู่ดูลย์ล่ะ

นี่ไงถ้าใจเป็นธรรม แต่นี่เขาพูดเอง เขาบอกว่าเวลานั่งไปแล้ว สิ่งที่น่าเสียใจ น่าเศร้าใจ คือเขาไม่พูดตรงๆ เขาก็ไม่ได้บอกตรงๆ หรอกว่า กรรมฐานเราผิด กรรมฐานพวกปฏิบัติวัดป่า ผิด ! แต่เขาพูดในมุมมองที่ว่าไม่มีผล ไปเสียประโยชน์ เสียเวลา แต่ไม่พูดตรงๆ ไม่พูดตรงๆ แต่คนมันหวั่นไหว แล้วพอหนังสือที่ออกมานี่ มี! พูดตรงๆ เลยว่า พุทโธนี่ทำให้ชาวพุทธเสียเวลา ชาวพุทธหลงใหลกันมานาน

พอพูดไปปั๊บ ที่มาไง แล้วอย่างที่ว่าตัวบุคคลเราไม่พูดถึง เราพูดถึงข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงว่า สิ่งที่เขาพูดจริงไหม สิ่งนี้จริงไหม แล้วอย่างผู้ที่ปฏิบัติเรามันโลเล มันโลเล แล้วอย่างที่เขาว่ากัน ว่าเราไปโจมตีเขา โจมตีเขา เวลาเราพูด เราพูดตรงๆ เลยนะ แล้วเวลาเขาบอกว่าเขาไม่ให้โจมตีเราเลย เขาไม่ได้ด่าเราเลยนะ ในเว็บไซต์นี่โห..เดียรถีร์ ไอ้พระ โห..ด่า (หัวเราะ) ด่ากันเต็มๆ เลย แล้วไหนว่าไม่ได้ด่า ห้ามต่อต้านนะ แต่ด่ากูเละเลย ว่าห้ามต่อต้านนะ ด่ากู เพราะลูกศิษย์เอามาให้ดูหมด แต่สำหรับเราเองไม่มี

แล้วนี่ก็เหมือนกัน เขาก็ถามว่าเราพูดเรื่องจิตกี่ดวง ไม่ตอบสักที เขาเพิ่งมาพูดเมื่อวานนี้ บอกเดี๋ยวกูตอบทีหลัง เพราะมันไม่มีใครมาบอกเราไง เราไม่เคยเข้าไปดูในเว็บไซต์ เราไม่เคยเข้าไปทั้งสิ้น เราไม่มี แล้วเราเองเราก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง ไม่อยากเข้าไปยุ่งเลย แต่ ! แต่เราเห็นความหวั่นไหวของสังคม ความหวั่นไหวของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันทำให้สั่นคลอนกันไปหมด สิ่งที่สั่นคลอน แล้วมันไม่มีใครออกมายืนยัน

ทีนี้พอมีความสั่นคลอน เราออกมายืนยันเองเห็นไหม แล้วยืนยันแล้ว เรายืนยันด้วยข้อเท็จจริง เพราะ ! เพราะสิ่งที่เราพูดอยู่นี่ เราไม่เคยพูดเรื่องที่นี่ เราเคยไปพูดตั้งแต่อยู่ที่หัวหินตั้งแต่ปี ๔๐ ปี ๓๐ กว่านี่เรื่องอภิธรรม เราเข้าไปๆ เพราะพวกราชภัฏเพชรบุรีเขาเป็นลูกศิษย์หมด เขามารุมเราที อู้ฮู..อาจารย์ราชภัฏทั้งหมดเลย เราคนเดียวปะทะกัน

เพราะตอนนั้นเราอยู่กับหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะกับหลวงตา ท่านก็พูดกันเรื่องนี้ คุยกัน หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็แบบว่า ท่านเคยสัมผัสมา ท่านก็ว่าสิ่งนี้มันเป็นไปไม่ได้ เราก็ฟังไว้เป็นทางแบบว่า แบบประสบการณ์ในการได้ยินมา มันยังไม่ฝังใจ แล้วในใจก็คิดละล้าละลังนะ ว่าทำไมครูบาอาจารย์เรา ประสาเรานะ เราเห็นคนผิด คนทำไปแล้วเดินทางที่ผิด ทำไมพวกเราไม่บอกให้เขาไปทางที่ถูก มันก็มีคิดฝังใจอยู่ว่า ทำไมครูบาอาจารย์ท่านไม่จัดการ

ฉะนั้นพอเราเข้าไปจัดการ ไปคุยกับเขามาหมดแล้ว ตอนไปคุยกับเขา มันถึงเข้าใจไง มันถึงเข้าใจ พอเราไปคุยกับเขาด้วยสุภาพบุรุษ เพราะลูกศิษย์เรากับลูกศิษย์เขารู้จักกัน ก็นิมนต์เราไปคุยกัน พอคุยกันแบบลูกผู้ชาย คือคุยด้วยเหตุด้วยผล

แล้วพอคุยด้วยเหตุด้วยผล ประสาเราว่า มันไม่มีใครเคยพูดได้ลึกขนาดนั้น อันนี้ก็มีอัดเทปไว้ มี อยู่ เก็บไว้ เดี๋ยวจะเอาออกมา คุยกับเขา มี นี้พอคุยกันไปแล้ว เราก็ลูกผู้ชายไง ให้เขาซักเรา ซักเราเสร็จ เราก็ซักเขา พอซักเขา โอ้โฮ.. สั่นทั้งตัวเลย พอสั่นทั้งตัวแล้ว พอซักแล้ว มันซักแล้วมันไปไม่ได้ไง พอไปไม่ได้เราก็หยุด

อันนี้เขาคงไปเล่าให้ลูกศิษย์เขาฟัง ลูกศิษย์ราชภัฏเต็มเลย อู้ฮู..ไปหาเราที่วัดที่หัวหิน สวรรค์บ่งชี้ตรงไหน ละติจูดที่เท่าไร อยู่ที่เท่าไรองศา โอ้โฮ..ซักใหญ่เลย เอาเป็นวิทยาศาสตร์เลย โอ้โฮ..ทีแรกก็คิดว่าจะคุยแบบลูกผู้ชาย พอเขาคุยกันด้วยสีข้างเข้าถู เราก็หยุด เราก็ไม่เอาด้วย เราถึงบอกว่า มันเป็นอย่างนี้มานาน เรื่องที่เราฟังมาจากหลวงปู่เจี๊ยะ กับเรื่องที่ฟังมาจากหลวงตา เรื่องที่ฟังมาจากหลวงปู่เจี๊ยะหลวงตาที่พูดถึงหลวงปู่มั่น

หลวงปู่มั่นพูดถึงสมัยที่ว่าอภิธรรมเข้ามาในประเทศไทย หลวงปู่มั่นท่านมีความเสียใจอย่างไร ท่านเสียใจว่าพุทธภาษิต พุทโธ พุทโธ พุทธภาษิต ทำไมพวกชาวพุทธเราไม่เอา ไปเอาสาวกภาษิต พวกนามรูป พวกยุบหนอพองหนอ มันเป็นสาวกภาษิต พุทธภาษิต พุทโธ พุทโธ พุทโธ อานาปานสติ พวกนี้เป็นพุทธภาษิต เป็นภาษิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ในพระไตรปิฎก”

หลวงปู่มั่นท่านปรารภกับหลวงตา ปรารภกับหลวงปู่เจี๊ยะ ปรารภมาอย่างนี้เยอะมาก แล้วเวลามีการประพฤติปฏิบัติ เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูด ท่านรู้รอบรู้จริง หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดเอง พอหนังสืออะไรมาจะโยนให้หลวงปู่เจี๊ยะ เจี๊ยะดูนี่หน่อย หลวงปู่เจี๊ยะท่านก็ไปอ่าน อ่านเสร็จแล้ว ท่านจะมารายงานหลวงปู่มั่นเลย อย่างนี้มันก็แค่สมาธิเท่านั้นน่ะ เออ! นี่หลวงปู่เจี๊ยะเล่าเยอะ ในเมื่อวัฏจักรมันเป็นอย่างนั้นรอบหนึ่ง แล้วมันก็ซาไป

แล้วครูบาอาจารย์เราประพฤติปฏิบัติมันมีความจริงขึ้นมา ความจริงอย่างที่ครูบาอาจารย์เราเทศนาว่าการ ความจริงเห็นไหมมันจับต้องได้ อย่างเช่นโยมประพฤติปฏิบัติมา มีความขัดข้อง มีความขัดใจ มีความสงสัย มีความไปสัมผัสสิ่งใด มาถามจะบอกหมดเลย เหมือนคนไข้ไปหาหมอ หมอให้ยา หมอรักษา หมอแก้ไขไปเรื่อยๆ

แล้วนี่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง มันก็มีความน่าเชื่อถือในวงปฏิบัติ ครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่นท่านสอนมา ตั้งแต่หลวงปู่แหวน หลวงปู่ขาว ตั้งแต่หลวงปู่.. หลวงปู่ตื้อ หลวงปู่อะไร พระอรหันต์ทั้งนั้น มันมีผลไง พอมันมีผล มันไม่ต้องพูดใช่ไหม สินค้าที่มีคุณภาพมากกว่า ทุกคนมันก็ต้องเข้าไปหาเป็นเรื่องธรรมดา เพราะนั้นมันมีผลขึ้นมา

ทางฝ่ายอภิธรรม เขาพยายามจะเข้ามาเกาะด้วย คือเข้ามาให้มีผลด้วย ทั้งๆ ที่คำสอนบอกกึ่งพุทธกาลไม่มีพระอรหันต์นะ เพราะเราไปยันเขามาหมดแล้ว เขาถามเองว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์เหรอ บอก เออ! เขาบอกว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์เหรอ หลวงปู่มั่นเก่งกว่าพระพุทธเจ้า หลวงปู่มั่นไม่ศึกษา หลวงปู่มั่นปฏิบัติได้อย่างไร เขาไม่เชื่อหรอกว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ เขาไม่เชื่อครูบาอาจารย์เป็นพระอรหันต์หรอก

แต่ แต่เวลาพอปฏิบัติเข้ามาเห็นไหม มาให้พระป่าให้ค่า ให้โสดาบัน ให้สกิทาคา ให้อนาคาไง เห็นมันไหม เห็นไหมที่เราออกมาพูด เพราะอะไรรู้ไหม เพราะถ้าพูดปฏิบัติของเขา ดูจิตกับนามรูปก็คืออันเดียวกัน คืออันเดียวกัน ! เราถึงได้พูดไง เรากล้ายืนยันด้วยว่า อย่างนี้เท่ากับตัดรากถอนโคน เท่ากับฟันต้นไม้ครึ่งต้น แล้วเอาไปปลูก มันเป็นไปไม่ได้

พระพุทธเจ้าบอกให้เพาะเมล็ด เพาะเมล็ดขึ้นมาแล้วเอาไปปลูก เมล็ดมันจะมีราก มีรากแก้ว รากฝอย ทุกอย่างมันจะปลูกขึ้นมาได้ ต้นไม้ตัดครึ่งต้นเห็นต้นใหญ่ๆ ตัดครึ่งต้นเลย แล้วเอาไปเสียบไปปัก แล้วจะให้เกิด มันเป็นไปไม่ได้ ในการประพฤติปฏิบัติต้องตั้งสติ พอตั้งสติขึ้นมาแล้วกำหนดพุทโธๆ ให้จิตมันสงบเข้ามา เพาะเมล็ดมันจะได้เมล็ดพันธุ์ขึ้นมา มันจะได้จิต มันจะได้ภพ มันจะได้สมาธิ จะได้เอาไปปลูก ไปดูแลขึ้นมา ให้คุณธรรมในหัวใจของเรา

ไม่ใช่ว่าไปดูความคิด ความคิดดับแล้วห่วงด้วยนะ ห่วงอะไร ห่วงมันจะผิดจากพุทธพจน์ไง มันจะผิดจากหลักธรรมะไง แล้วพอปฏิบัติมา มันจะบอกว่ามันเป็นปริยัติ ในเมื่อปริยัติคือปริยัติใช่ไหม ในเมื่อปฏิบัติมันเป็นปฏิบัติแล้ว ปฏิบัติแล้วมันต้องให้ทำเกิดข้อเท็จจริง อย่างเด็ก เราให้เด็กไปฝึกงาน โยมจะเอาหนังสือไปกางเลยนะ ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้

แล้วเด็กมันจะทำงานไปได้ไหม เด็กมันจะทำงานได้ไหม เราเอาหนังสือไปกางเลย แล้วเด็กมันต้องทำตามตำราหมดเลยอย่างนี้ มันจะเป็นไปได้ไหม ตำราส่วนตำรานะ เวลาเราฝึกทฤษฎีต้องทฤษฎีใช่ไหม เวลาปฏิบัติต้องทำปฏิบัติเลย มันจะเป็นจริงอย่างไร ให้เป็นอย่างนั้นขึ้นมา ไม่ใช่เอาตำรานี่มาปฏิบัตินี่ไง พอมาปฏิบัติผิด ผิด ผิด

มันทำให้มันประสาเรานะ เราอ่านเกมลึกกว่านั้นนะ อันนี้เพียงแต่ว่าพระป่า ไอ้พวกลูกศิษย์กรรมฐาน เพราะมันมีอยู่คำเดียวเท่านั้น เพราะเขาบอกว่าเขาเป็นวัดป่าเหมือนกัน เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์ แต่พฤติกรรมมันไม่ใช่ มันไม่ใช่หมดเลย เราจะบอกว่าการทำลาย มันจะต้องทำลายจากข้างใน ทีนี้พอการทำลายจากข้างใน มันจะหมดกันเลยไง

เพราะว่าถ้าโยมย้อนกลับมาในวงการ ในวงการศาสนา ย้อนไปดูลึกๆ มันจะมีลึกซึ้งอะไรมากกว่านั้น แต่เราดูแต่ความเชื่อมั่นเชื่อใจกัน แล้วคิดว่ามันเป็นการทำลายกันว่า พระจะชนกัน ไม่หรอก ในเว็บไซต์ก็บอกเห็นไหม บอกมันจะเป็นสังฆเภท บอกไม่ใช่หรอก มันเป็นพระ ๒ องค์ ถ้าพระ ๒ องค์เท่ากับคน ๒ คน คน ๒ คนไม่ใช่สงฆ์ไม่มีการปะทะกันหรอก ไม่มี ไม่ใช่สงฆ์แตกแยกหรอก

สงฆ์แตกแยกต้องเป็นหมู่สงฆ์ต้อง ๔ องค์ขึ้นไป แล้ว ๔ กับ ๔ ปะทะกัน มันทำให้สงฆ์แตกแยก นี่เป็นระหว่างคน ๒ คน แล้วประสาเราที่ว่าไม่ให้พูด ไม่ให้พูด ไม่ให้พูดนะ แต่ด่ากูเละเลย ไม่ให้พูด (หัวเราะ) ในเว็บไซต์ด่าเละเลย แต่ไม่ให้พูด แต่สำหรับเราสิเห็นไหม เราจะบอกลูกศิษย์ ทุกคนเลยไม่ต้อง เรื่องของกู กูจัดการเอง

เพราะอะไรรู้ไหม เพราะคำพูดที่เขาพูดออกมา เวลาพูดออกมาแล้ว คนฟังแล้วมันงง อย่างเทศน์ตอนเช้าเห็นไหม สติ สมาธิเป็นอนัตตา คำว่าอนัตตา เราบอกเขาเลยน่ะ เขาคิดว่ามันไม่มีไง มันเป็นอนัตตาอยู่แล้ว ทีนี้พอเป็นอนัตตาอยู่แล้ว มันไม่เหมือนพวกเรา พวกเราฝึกสติกันนะ ฝึกสมาธิกัน มันจับต้อง มันรับรู้นะ

ทีนี้พอบอกเป็นอนัตตาใช่ไหม เขาบอกว่าสติสมาธินี่เป็นอนัตตา พอเป็นอนัตตาปั๊บดูไปเฉยๆ เผลอปั๊บสติจะเกิดเอง เผลอปั๊บสติเกิดเอง ตกใจปั๊บสติเกิดเอง มันขัดแย้ง ๒ ประเด็น ประเด็นหนึ่งไม่เป็นความจริง ประเด็นที่ ๒ ถ้าเป็นความจริงนะคนเราตกใจ มันจะมีอารมณ์ แบบเลือดสูบแรงไหม เราบอกเหมือนไฟ เวลาไฟมันดับ เวลาไฟมา มันจะกระตุก เวลาตกใจ เวลาอะไร มันจะกระตุก มันจะเป็นสติ เป็นสมาธิไปได้ไหม

มันไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ หนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้ สองที่ตามดู ตามดูไป ดูไป มันดูอะไร นี่เป็นการหลง มันไม่ใช่ความจริงนะ มันบอก คำที่เขาบอกว่าเป็นอนัตตาเห็นไหม เพราะเป็นอนัตตา เพราะว่าประสาเราเลยว่า ถ้าเป้าหมาย เขาไม่มีเป้าหมาย เขาไม่รู้ที่สุดที่จะไปถึงที่จุดเป้าหมายคืออะไร พอเขาไม่ถือว่าจุดเป้าหมายมันจะไปถึงตรงไหน เขาถึงได้พูดอย่างนี้ไง ว่าสติสมาธินี่เป็นอนัตตา

แล้วเวลาเราพูดเห็นไหม เวลาธรรมะของพระพุทธเจ้า สัพเพ ธัมมา อนัตตา พอสัพเพ ธัมมา อนัตตา มันก็เป็นอนัตตาเหมือนกันเห็นไหม นี่ไงเราจะชี้ให้เห็นว่า ถ้าโยมฟังแล้วฟังไม่ออก โยมฟังไม่ออก คนภาวนาไม่เป็นมันฟังไม่ออก แล้วแยกไม่ได้ว่าขาวกับดำไปอยู่ตรงไหน แยกไม่ออกระหว่างความจริงกับความเท็จ ความจริงกับความเท็จในคำพูดคำเดียวกัน

เราถึงเน้นประจำใช่ไหมบอกว่า คนไม่เป็นพูดคำเดียวกัน พูดถึงดำ สีดำกับสีดำด้วยกัน คนไม่เป็นมันเห็นสีดำคือสีดำ แต่คนเป็นนะมันรู้ว่าสีดำมันมาจากไหนเลย ทำไมถึงเป็นสีดำ สีดำทำมาจากไหน แล้วสีดำๆ ทำมาเพื่อประโยชน์อะไร แต่คนไม่เป็น ไม่เป็น เขาเห็นเขาก็ว่าสีดำ มันพูดสีดำนะ ถ้าให้ชี้นะ มันดันไปชี้สีขาวนะ มันคิดว่าสีขาวเป็นสีดำ

คำพูดเป็นคำพูดเป็นข้อมูลเป็นความจำ แต่ความจริงที่มันรู้จริงว่าสีดำสีขาว มันรู้ ไม่รู้เห็นไหม แต่คำพูดคำเดียวกัน พอเราฟังคำว่าอ้าว กรรมฐานเขาบอกสีดำ เขาบอกสีดำ แล้วมันต่างกันตรงไหน มันต่างกันตรงไหน แยกไม่ออกไง พอแยกไม่ออกปั๊บนะ พระสงบนี่พาลพาโลน่ะ ว่าเขาอีกแล้ว ว่าเขาอีกแล้ว แต่เรามาถามเราสิ มันต่างกันตรงไหน

มันต่างหมดนะ มันต่างหมด ต่างจนเขาไม่มีความมั่นใจ ไม่มีความมั่นใจอะไรเลย สมัยเราอยู่กับหลวงตา ชื่อเป็นพยาบาล กลางคืนนั่งอยู่ กลางคืนอยู่ในครัว ประมาณตี ๒ เขาภาวนามาเต็มที่แล้ว พอถึงตี ๒ หนูมันมากัด แปลกนะ คนนอนอยู่หนูมากัดเท้า พอกัดเท้าเกิดความเจ็บปวดมาก พอเกิดความเจ็บปวดมาก เขาใช้ปัญญาไล่ พิจารณาเลย พอพิจารณาเข้าไปเต็มที่เลย พอพิจารณาเต็มที่น่ะขันธ์ ๕ กับจิตมันแยก ขันธ์เป็นขันธ์ จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ มันปล่อยหมด

พอปล่อยหมดปุ๊บมารายงานหลวงตา เราอยู่ที่นั่น มารายงานหลวงตาเลย รายงานหลวงตาว่าเมื่อคืนเป็นอย่างนั้นๆ แล้วมันปล่อยอย่างนั้น มันขาดอย่างนั้น หลวงตารับประกันเลยโสดาบัน แล้วรับประกันเสร็จปั๊บ ตอนเช้าพอพระจะออกบิณฑบาต ท่านใส่เลย พระหัวโล้นๆ หัวโล้นๆ เห็นไหม สู้หัวดำๆ ไม่ได้ โยมเขาหัวดำๆ เขาพิจารณาเขาขาดนะ เขาเป็นอย่างนั้นนะ เขาเป็นความจริงของเขาอย่างนั้น ไอ้หัวโล้นๆ ทำอะไรกันอยู่

ท่านจี้พระใหญ่เลยนะ ให้ปฏิบัติเร่งให้พระมีกำลังใจขึ้นมาเห็นไหม เราจะบอกว่าหลวงตาเราเวลาใครเป็นสิ่งใด ท่านพูดสัจจะความจริง ใครเป็นขั้นไหน ท่านบอกตรงๆ องค์นี้เห็นไหมอยู่ที่นั่น อาจารย์สิงห์ทองเห็นไหม ได้คุยแล้ว ธรรม ธรรมสิงห์ทอง ธรรมหลวงปู่ลี ธรรมลีน่ะ ท่านพูดตรงๆ เลย ตรงๆ เลย

แต่เวลาผู้ที่ฟังไม่มีความมั่นใจนะ อย่างนี้สบายแล้ว อย่างนี้ใช้ได้แล้ว แล้วก็เป็นการรู้กันว่านี้ เป็นขั้นตอนของเขานะ นี่ก็เป็นโสดาบันของเขา ทำไมไม่พูดว่าโสดาบัน ทำไมไม่พูดว่าโสดาบัน ทำไมไม่พูดว่าเป็นขั้นตอน ทำไมไม่พูด ไม่พูดความจริงออกมา ก็ไม่แน่ใจ พอไม่แน่ใจก็บอกผ่านแล้ว สบายแล้ว เป็นผู้สอนได้แล้ว แล้วเป็นผู้สอนได้แล้ว แล้วเป็นจริงหรือเปล่าล่ะ เป็นจริงหรือเปล่า

เราไม่เชื่อเลย เพราะหนังสือที่เขียนมา ก็พวกนี้เขียนมา แล้วเขาก็สอนกันมา พอบอกว่านะ พุทโธ พุทโธ พุทโธ มันจะไม่มีช่องทางไป พุทโธทำให้ตัวแข็ง แล้วน่าสลดสังเวชว่าคำบริกรรมพุทโธ มันหลงกันมาเป็นชั่วอายุคน แล้วผู้ที่กำหนดพุทโธ เมื่อไหร่มันจะได้วิปัสสนา แล้วเมื่อไหร่จิตมันได้สงบขึ้นมา

เมื่อไหร่จิตสงบหรือไม่สงบ มันเหมือนพวกเรานั่งอยู่ที่นี่ เราเริ่มภาวนากัน จิตใครสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง หรือจิตใครมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา มันอยู่ที่ความสามารถ อยู่ที่คุณสมบัติ อยู่ที่ความเป็นจริง ไอ้ความเป็นจริงอันนั้น มันอยู่ที่การกระทำของเรา นะ ถ้าความจริงอันนั้น มันอยู่ที่การกระทำของเรา มันก็ต้องทำความเป็นจริงใช่ไหม

แต่เวลาเรามาทำของเขา ไอ้อย่างนี้มันเป็นการนึกเอา นึกให้สบายๆ แล้วทุกคนเน้นตรงนี้ ไอ้อย่างนี้มันพูดให้เห็น เห็นว่าผิดถูกชัดเจนนะ บางคนมันไม่เข้าใจ เพราะถ้าเขาเห็น เห็นว่าของเขาใช่ไหม อย่างทุกคนจะบอกเลยว่า ปกติ เราเป็นคนที่ว่ามีความทุกข์ในหัวใจ เรามีความอัดอั้นตันใจทั้งนั้น พอมากำหนดควบคุมตัวเองหน่อยเดียว มันจะดีขึ้น ไอ้แค่นี้ เขาบอกอย่างนี้ว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่ แล้วทุกคนติดกันแค่นี้นะ แล้วเวลาพวกโยมยังไม่ได้ปฏิบัติ ก็เห็นว่ามันไม่เห็นความแตกต่าง

เรานั่งอยู่นี่ มีลูกศิษย์ตอบลูกศิษย์ เวลาเขาไปปฏิบัติด้วยกัน เขาไปคุยกัน เขาพามาหาเรา หลายคนมากว่างๆ ว่างๆ แล้วไปไหนไม่รอด แล้วปฏิบัติมาเยอะพอมันว่างๆ มันไปไม่ได้ นี่ไงที่เราบอกว่าตัดรากถอนโคนไง พอกำหนดใช่ไหม เช่นเรามีความฟุ้งซ่าน มีความหมักหมมในใจ ใจมีความทุกข์ร้อนในหัวใจเห็นไหม เราก็กำหนดควบคุมมัน ดูแลมัน รักษามัน เห็นไหม

หลวงตาเราครูบาอาจารย์ท่านก็บอกว่า ให้ดูแล ให้รักษาใจ ให้ดูใจ ให้รักษาจิต รักษาใจ รักษาใจรักษาจิต ไอ้อย่างนี้มันก็เป็นสามัญสำนึกของเรา ควบคุมเราให้มันอยู่ในอำนาจของเรา อันนี้มันแค่พวกพื้นฐานไง แล้วของเขา เขาก็สอนกันอย่างนี้ แล้วของเขาก็ไปรักษากัน แล้วมันดีขึ้น ทุกคนดีขึ้นหมดนะ อ้าวมันก็ธรรมดา ก็ดีขึ้นจริงๆ เราก็ไม่ได้ว่ามันผิดนะ แต่มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องสามัญสำนึกของคน มันไม่เข้าหลักปฏิบัติอะไรเลย ยังไม่เข้าหลักนะ

ถ้าพุทโธ พุทโธ มันไปไกลกว่านี้เยอะ ถ้าเป็นสมาธิ มันไปไกลกว่านี้เยอะ ไอ้นี่มันไม่ใช่ แล้วพอบอกพุทโธมันยาก มันยากก็เพราะมันเป็นความจริงไง แต่นี่มันง่ายเพราะเราปฏิเสธทุกๆ อย่างเลย เราปฏิเสธเลย เหมือนกับเราไม่รับผิดชอบอะไรเลย อยู่แบบคนไม่มีหลักเกณฑ์อะไร เพราะอะไรรู้ไหม เพราะสติไม่ต้องฝึกไง สติจะเป็นเอง ทุกอย่างจะเป็นเองหมดไง คือปล่อยตัว ปล่อยตัวตามสบายมันไป ไม่โต้แย้ง ไม่ขัดแย้งสิ่งใดๆ เลย แล้วมันสบายไหม มันก็สบาย

แล้วทุกคนมา พอกำหนดแล้ว มันก็สบายๆ อย่างนี้ แล้วมันตันไปไหนไม่ได้เลย เราบอกเลย ตัดรากถอนโคนจิตของตัวเอง ตัดรากถอนโคนความดีของตัวเอง แต่ถ้าเรากำหนดพุทโธนะ พุทโธใครเป็นคนคิด ใครเป็นคนคิด ใครเป็นคนคิดพุทโธขึ้นมา ถ้าไม่ใช่ตัวใจเราคิด ไม่ใช่ความตั้งใจ พุทโธนี่เอามาจากไหน พุทโธมาจากคอมพิวเตอร์ไม่ได้ พุทโธมาจากแท่นพิมพ์ไม่ได้ พุทโธมาจากเครื่องเสียงไม่ได้ พุทโธมาจากอะไรไม่ได้ ถ้าเป็นเครื่องเสียงก็เป็นเสียงของมัน ไม่ใช่ของเรา

ถ้าใครนึกพุทโธต้องจิตเราเป็นคนนึก เราเป็นคนนึกขึ้นมา วิตกวิจารต้องเกิดจากจิต พุทโธเป็นวิตกวิจาร อานาปานสติก็เกิดจากจิต จิตเป็นคนกำหนด ราก รากคือรากของจิต แต่ถ้ามาปฏิเสธราก รากนี่ปฏิเสธทิ้งไปเลย ดูนะ ดูความเคลื่อนไหว จิตมันอยู่ไหน จิตมันเป็นพลังงาน โดยสามัญสำนึกของคน มันมีการเคลื่อนไหวอยู่แล้ว นั่งอยู่เฉยๆ ความคิดมันเกิดแล้ว ความคิดมันเกิดตามธรรมชาติของมัน แล้วไปดูที่ความคิด เพราะอะไร เพราะธรรมชาติใช่ไหม เวลาเราคิด ใครเป็นคนให้คิด มันคิดเอง

เวลาเราคิดกันอยู่นี่ใครเป็นคนคิด เราคิดกันอยู่นี่หรือใครเป็นคนคิด มันคิดเองโดยสามัญสำนึก มันคิดเอง ใช่ไหม ไม่มีใครรู้ว่าเราคิดมาจากไหน นี้ธรรมชาติ ความธรรมชาติคือตัวจิต มันมีอยู่แล้วใช่ไหม มันก็คิดธรรมะไง คิดธรรมะ ธรรมะก็เป็นความคิด คิดมาจากจิต แต่ก็ไม่รู้จักจิต ไม่เห็นจิต มันคิดขึ้นมา คิดธรรมะขึ้นมา กับความคิดที่มันเคยคิดอยู่ใช่ไหม มันก็อันนี้ไง จิตคือส่วนจิต ความคิดมันส่วนความคิดใช่ไหม เราตั้งใจนี่ไงดูจิต ดูจิต ไม่ใช่ดูจิตเขาดูความคิด

หลวงปู่ดูลย์ดูจิตแต่พวกนี้ดูความคิด ไม่ใช่ดูจิต พอไม่ได้ดูจิตก็สร้างอารมณ์ขึ้นมานะ เวลาไปนะ จิตมันเฉานะ จิตมันคิดเกินไปแล้วนะ จิตมันเกร็งเกินไปนะ ไอ้นี่ก็ความคิด มันไปดูที่ความคิดไง ความคิดมันมีอาการมีความรับรู้ไง มันไม่ใช่มาจากรากเห็นไหม เราถึงบอกตัดต้นไม้ครึ่งหนึ่ง ตัดต้นไม้ครึ่งหนึ่ง ตัดพลังงานไปอยู่ที่ความคิด ความคิดเกิดขึ้น แล้วความคิดมันรักษาตัวมันเองสบาย สบาย

นี่ไง เพราะเขาอยู่กันอย่างนี้ไง เขาถึงบอกว่า สติ สมาธิเป็นอนัตตา เพราะมันไม่มี ถ้าคนทำ ทำสมาธิเป็นนะ ไม่กล้าพูดอย่างนี้ ไม่กล้าพูด ใครไม่ต้องไปให้ใครมาบอกหรอก ว่าเราได้หนังสือเขามาจากใคร ไอ้หนังสือนั่นน่ะ มันเป็นการเขียนหนังสือธรรมะพระพุทธเจ้า ตีความธรรมะพระพุทธเจ้า ใครก็ตีได้ จะเขียนให้เลิศเลอขนาดไหนก็เขียนได้ แต่ความรู้มึงไม่มี ความรู้มึงไม่มี

ฉะนั้นเวลาที่โยมอ่านกัน อ่านธรรมะที่เขาเขียน กับเขียนมาจากตีความธรรมะพระพุทธเจ้า เขาเขียนได้หมด ทมยันตีเขียนได้ดีกว่า มันเขียนคู่กรรม โฮ้โฮ..คนอ่านติดกันทั้งประเทศเลย ไอ้นี่ก็ไปติด ติดคู่กรรมกันไง โอ๋ย คู่กรรม อ้าว..กรรมมันเป็นอย่างนั้น โอ๋ย..ทึ่งกันใหญ่เลย พอเอาความจริงเข้าไม่มี ที่เป้าหมายเราอยู่ตรงนี้ เป้าหมายที่พูด พูดเพื่อให้ชาวพุทธ

เราเป็นชาวพุทธแท้ๆ แล้วคำว่าชาวพุทธแท้ๆ ถ้าทำ ต้องทำได้ข้อเท็จจริง ต้องทำได้ถึงความจริง ไม่ใช่เลื่อนลอยกันอย่างนั้น พอเลื่อนลอยกันอย่างนั้นน่ะ ถ้ามันปฏิบัติแล้ว ครูบาอาจารย์เราอุตส่าห์สร้างเครดิตในการประพฤติปฏิบัติมาให้ชาวพุทธมั่นใจว่า มรรค ผล มีจริง แล้วมรรค ผล ที่เราทำกันเป็น มรรค ผล จริงๆ แต่นี่เขากำลังจะทำมรรค ผล ที่เขาบัญญัติกันขึ้นมาเอง

ฉะนั้นถ้าเขาจะพูดอะไรของเขา เราไม่เคยพูดเลยนะ เราเห็นเรื่องนี้มาตั้งแต่นานมาแล้ว เราไม่เคยพูดเลย แต่เรามาพูดหนักๆ เอาก็ไอ้ตรงที่ว่าพุทโธ มันแบบว่าพุทโธมันชั่ว เรารับไม่ได้ เรารับว่าพุทโธ อย่างเช่นครูบาอาจารย์เรา อย่างเช่นหลวงตาท่านก็สอนพุทโธตลอดนะ แต่ท่านก็ไม่ออกมาพูด เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเขาพยายามจะเบี่ยงเบนว่าหลวงตาเห็นด้วย

ยิ่งสองสามวันนี้ลูกศิษย์มาเห็นไหม เขาบอกว่าดูจิต หลวงตาก็ดูจิตมาก่อน หลวงตาก็พูดถึง เราก็พูดถึงไง เขาถึงบอกให้ลูกศิษย์ที่เขาเห็นดีเห็นงามแล้วเขาบอกว่า ให้เราพูดชัดๆ ให้เราพูดชัดๆ เราถึงได้พูดชัดๆ วันนั้นเราพูดชัดๆ เลยว่าหลวงตาท่านดูจิตมาก่อน ดูแล้วมันผิดไง ผิดแล้วท่านเลยทิ้งไง ให้พูดชัดๆ ตอนนี้เขาเบี่ยงเบน เขาพยายามจะพูดตรงนี้ไง

เราจะบอกว่า คนเรานะ อย่างเช่นเรา ถ้าเราไม่มีหลักเกณฑ์ของเรา เราจะมานั่งพูดอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าเรานั่งพูดอย่างนี้ได้นะ เพราะ เพราะความรู้สึกนี้เป็นนามธรรม ถ้าความรู้สึกเป็นนามธรรม วันนี้เราพูดเรื่องอะไร วันนี้ว่าอารมณ์ความรู้สึกเรามั่นคง เราพูดได้ชัดเจนมากเลย แล้วพวกนี้นะ หลักเกณฑ์มันลอยไปแล้วนะ พรุ่งนี้มันจะพูดเรื่องโกหกเรื่องอะไร แล้วถ้าโกหกพรุ่งนี้ พอโกหกไป มะรืนก็จะโกหกซ้ำไปนะ คำพูดเรามันจะคลาดเคลื่อน มันจะคลาดเคลื่อน ถ้าไม่มีหลัก

แต่ถ้ามีหลักนะ พูดที่ไหนก็ได้ พูดเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะพูดออกมาจากหลักนั้น มันไม่แยกออกไปจากหลักนั้น ที่เขาบอกไม่ให้ปะทะ ไม่ให้พูด ตรงนี้นักปฏิบัติกับนักปฏิบัติด้วยกัน แค่จิตส่งออกแล้วออกไป ช็อกตายหมดแล้ว ช็อกตายเลย เพราะอะไร เพราะเราไปศาลใช่ไหม เราก็ต้องเอาหลักฐานของเราไปวางที่ศาลใช่ไหม แล้วเวลาฝ่ายตรงข้าม เขาเอาหลักฐานมาลบล้าง ลบล้างหลักฐานนี้หมดเลย ตายนะ ตาย

ทีนี้พอหลักฐานอันนี้ มันลบล้างไปแล้ว หลักฐานนะ แก่นธรรมของหลวงปู่ดูลย์ แก่นธรรมมันโดนลบล้างไปแล้ว เปลือกธรรมกับอภิธรรมมันจะออกมาอีกไหม แก่นธรรมยังโดนลบไปแล้ว แล้วลบแล้วตอนนี้ ตอนนี้ไม่ออกมาโต้แย้ง ห้ามมาโต้แย้ง ไม่ออกมาโต้แย้ง แล้วเรา กลับไปวางทีมวิชาการ ไปวิจัยกันใหม่ว่าจะออกรูปไหน เดี๋ยวจะมีหนังสือเล่มใหม่ออกมา ปลิ้นออกไปอีกทางหนึ่งไง จะปลิ้นออกไปอีกทางเลยนะ เกมส์มันเป็นอย่างนี้ รู้ทั้งนั้นน่ะ ถ้าปะทะต่อหน้าสู้ไม่ได้ เดี๋ยวมันจะปลิ้นออกข้างทางไป

นี่พูดถึงเราจะพูดกันเองไง นี่เวลาพูดถึงออกเว็บไซต์เราเหตุผลเพื่อเหตุใดนะ ทีนี้เพียงแต่ว่าถ้าอย่างว่าล่ะ จะปลิ้นขนาดไหน ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่นะปลิ้นไปเถอะ เฮอะ.. มึงปลิ้นไปเถอะ มันเห็นได้ มันรู้ได้ อันนี้เมื่อก่อนเห็นไหม อย่างที่โยมเอาหนังสือมาแจก เอาหนังสืออะไรมา เราเห็นตรงนี้ไง อย่างเช่นเวลาหลวงตา พิมพ์หนังสือหลวงตามาแจกกัน หน้าปกก็เป็นหลวงตาแต่ข้างในไปเขียนกันในเรื่องพระไตรปิฎก นี่เราพูดตรงนี้ไง

กรณีอย่างนี้มันก็เหมือนกรณีนี้แหละ ขณะที่ว่าเราเรียนปริยัติเห็นไหม เราเรียนทางวิชาการเราควรเรียนนะ เรียนเพื่อความรู้ แต่เวลาปฏิบัติแล้วมันเป็นปฏิบัติใช่ไหม พอเราไปปฏิบัติปั๊บ เราจะอ้างแต่ปริยัติตลอดเวลา ไม่ได้ ! ขนาดหลวงปู่มั่นท่านสอนหลวงตาเลย

“มหาเรียนมาถึงมหานะ ธรรมะของพระพุทธเจ้าเชิดชูไว้บนหัว แล้วเอาความรู้นี้เก็บไว้ในลิ้นชัก แล้วใส่ลิ้นชักไว้ แล้วลั่นกุญแจไว้นะ อย่าให้มันออกมา”

ถ้ามันออกมา เพราะคนปฏิบัติไง อย่างเช่นถ้ามีเราเรียนมามาก อย่างโตเรียนมามากเลย แล้วเวลาทำงาน มันสงสัยไหม มันก็จะเอาวิชาการมาหมดเลย ดูอย่างวิศวะ วิศวะทุกคนเลยที่จบมาใหม่ๆ นะ เขาบอกเขาฉาบปูนไม่เป็นหรอก เขาทำอะไรไม่เป็นหรอก แต่ไอ้พวกกรรมกรก่อสร้าง ทำได้ทุกอย่างเลย แต่ทางวิชาการเขาไม่มี

ทางวิชาการนะมันสำคัญมาก สำคัญตรงไหนเช่นผูกเหล็ก ผูกเหล็ก เหล็กระดับไหน มันจะรับน้ำหนักได้มากน้อยขนาดไหน ผูกถี่ผูกขัดนะ อย่างคอม้าผูกขัดขนาดไหน มันจะรับน้ำหนักได้ขนาดไหน เพราะเราคำนวณน้ำหนักไม่เป็น แต่เราทำทุกวันนะ นักวิชาการเขาจะรู้ตรงนี้ รู้ตรงว่าคำนวณน้ำหนัก ความยึดนะ น้ำหนักของมัน

แต่เรามาให้ทำจริงๆ นะ มันรู้แต่ทฤษฎีไง รู้แต่คำนวณไง ลงมาทำไม่ได้ ทีนี้พอลงไปทำในพื้นที่ ถ้าคำนวณนี่เห็นไหม แล้วเรียนธรรมะพระพุทธเจ้ามา คำนวณมาหมดแล้ว นี่ลงไปในพื้นที่ ถ้าเอานั้นมา มันก็จะมาขัดแย้งกัน วางไว้ก่อน พอวางไว้ก่อน ฝึกเลย เพราะการคำนวณเรามีอยู่ในหัวอยู่แล้ว แล้วเราก็ทำงานให้คล่องตัวนะ พอมันชำนาญแล้วนะ มันเข้ากันได้หมดเลย

หลวงปู่มั่นถึงได้บอกไงว่า เอาเก็บไว้ใส่ในลิ้นชักไว้ก่อน แล้วให้ปฏิบัติไป พอปฏิบัติไปถึงที่สุดแล้ว มันจะวิ่งมาประสานกัน แล้วหลวงตาท่านก็ว่ามันเป็นจริงๆ แต่ถ้าพูดถึงนะ เวลาปฏิบัติ เอาทางวิชาการมาหมดเลย เห็นหลวงปู่เขียนไหม หลวงตาท่านบอกตอนหลวงปู่เขียนน่ะว่า เป็นพระธาตุแล้วน่ะ ท่านพูดออกมาเลย สองวันนี้ก็พูด บอกตอนที่ท่านไปทอดผ้าป่า ฟังแล้วมันเป็นปริยัติหมด คือวิชาการทั้งหมด คือการคำนวณทั้งหมด

เวลาเทศน์ออกมามันบอกเลย แล้วพอตอนหลัง พอเผาเป็นพระธาตุ อ๋อ.. เพราะเอาเทศน์เราไปฟังอยู่ทุกวัน มันต้องฝึกไป ฝึกไป ฝึกไป การฝึกอันนี้ การฝึก การฝึกของเรา การกระทำของเรา มันเป็นประสบการณ์ของจิต ถ้าประสบการณ์ของจิต จิตมันเป็นความจริงขึ้นมา หลักการอันนี้มันสำคัญมาก ทางวิชาการ เพราะทางวิชาการน่ะ ดูสิดูอย่างพระสารีบุตรไม่เชื่อพระพุทธเจ้า มันเป็นจริงของมัน พูดที่ไหนก็ได้ พูดอย่างไรก็ได้

เราห่วงตรงนี้ เราห่วงตรงที่ว่าถ้าพูดไป ถ้าเอามายืนยันกันไปเรื่อยๆ น่ะ ต่อไปทิ้งหมดนะ ต่อไปนะมีแต่หลักทางวิชาการ เวลาพูดธรรมะเห็นไหม นี้ออกมาแล้วนี่ เขาพูด แล้วคำนี้มีแต่คนพูดบ่อยว่า คำพูดที่เขาพูดถึงอภิธรรมเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า แล้วพวกอภิธรรมพูดหมด แล้วเวลาเขาพูดเห็นไหม พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์สังคายนาไง สังคายนาแล้วต้องตามนั้น

แต่ในภาคปฏิบัติเรา เวลาปฏิบัติ หลวงปู่มั่นทำไมเคารพล่ะ ทำไมบูชาล่ะ ไอ้อย่างนี้ มันเข้าไม่ถึง พวกเราเองเข้าไม่ถึง ยิ่งผู้ปฏิบัติ ยิ่งสายวัดป่า ที่ว่าเป็นวัดป่าๆ ไม่ใช่ๆ ถ้าวัดป่ามันต้องมีพื้นฐาน เพราะเราฟังอยู่นะ ครูบาอาจารย์เราหลายองค์ เคยไปถามท่าน ท่านบอกว่าต้องทำความสงบก่อน ต้องทำความสงบก่อน ต้องจิตสงบเข้ามา ถ้าจิตสงบเข้ามานี่มันถึงราก

แล้วเวลาจิตมันเกิดขึ้นมานี่ มันไปแก้ไขกันที่รากนั้น มันแก้ไขกันที่จิตสำนึก เราใช้คำว่าคนละมิติ ปัญญาคนละมิติ โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา โลกียปัญญา ปัญญาทั้งหมดนี่เป็นโลกียปัญญา ปัญญาเกิดจากกิเลสหมด ปัญญาเกิดจากตัวตน ปัญญาเกิดจากเรา ปัญญาเกิดจากสามัญสำนึก ปัญญาเกิดจากธรรมชาติ ธรรมชาติของคนมันคิด คิดโดยธรรมชาติ แล้วพอคิดโดยธรรมชาติ เวลาไปเห็นไหม ทุกคนทึ่งนะ บอกโอ้โฮ..รู้วาระจิตหมดเลยนะ โฮ..รู้ว่าจิตคิด จิตบอก

เราบอกว่าไร้สาระ มันไร้สาระเพราะว่าธรรมชาติแดดมันต้องร้อน จุดไฟขึ้นมา พลังงานมันต้องให้คลายความร้อนโดยธรรมชาติ จิตของคนคิดโดยธรรมดา นั่งอยู่นี่ คิดทุกคนเลย ชี้ไปตรงไหนก็ถูกหมด ไปทึ่งแค่นี้เอง ไปทึ่งกันแค่นี้เองว่ารู้วาระจิต รู้วาระจิตเครื่องจับเท็จดีกว่ามึงอีก เพราะเครื่องจับเท็จเอาคนเข้าคุกมาเยอะแล้ว

เราไม่ได้เอาสัจธรรมกันเลย เราไม่เคยคิดว่าสัจธรรมมันคืออะไร สัจธรรมมันคืออะไร มรรคญาณมันคืออะไร เอาแค่ว่าเขาทายใจเราได้ ไปหาหมอดูก็ทายใจมึงได้ก็จบ เราถึงบอกมันอ่อนมาก การปฏิบัติอ่อนมาก แล้วพูดด้วยประสาเราเลย บางทีนะ ถ้าพูดถึงว่าจะน้อยใจ ก็ว่าน้อยใจนะ ว่าพระผู้ใหญ่เยอะแยะเลย แล้วทำไมไม่มีใครรับผิดชอบศาสนาเลยล่ะ แล้วมันไม่มีใครรับผิดชอบศาสนาเลย เวลาอย่างเรา เราก็ออกมาพูด พอเราออกมาพูดก็ว่าเราผิด จะทำให้พระปะทะกัน ไม่

ความจริงนะ โยมฟังนะ ทองคำยิ่งโดนไฟมันยิ่งสุกนะ ถ้าเป็นความจริง เราคิดเลย เราคิดมันเป็นเกมส์มานะ เราบอกเราพูดมานานว่า ถึงที่สุดแล้ว ถ้าอย่างเรามันเหมือนไฟ เผาก็ไปหมดน่ะ แต่ถ้าเป็นทองคำนะ ยิ่งเผามันยิ่งสุกนะ ยิ่งเผามันยิ่งสะอาด แล้วเวลาธรรมะ เรามั่นใจมากนะ ออกเว็บไซต์ไป เขาหลบกันไปใหญ่เลย เขาจะไปจับผิดกัน ไปหาจุดบอด เออใครชี้มาทีวะ ใครชี้มาที ใครชี้มาว่าผิดตรงไหน ชี้มาที

มันไม่เห็นกลัวอะไรเลย ไม่เคยหวั่นไหวอะไรเลย แล้วเวลาเราชี้ของเขาไปมันผิดอย่างนี้ๆ ถ้าพูดถึงนะบอกธรรมะเป็นธรรมพระพุทธเจ้านะ โอ๋..รีบๆ แก้ พระพุทธเจ้าเห็นไหม ใครทำผิดพระพุทธเจ้าแก้ไขเลย ไอ้นี่เราชี้ไปขนาดไหน เงียบกริ๊บเลย ไม่ใช่เงียบธรรมดา พอเงียบเสร็จแล้วก็พยายามจะ พยายามจะให้ถึงที่สุดถ้าเราไม่หยุด เขาต้องไปฟ้องหลวงตา เฮ้อ เฮอะๆ (หัวเราะ) แน่ๆ เลย คิดเอาไว้แน่ๆ เลย (หัวเราะ) เรารอตรงนั้นเลยล่ะ

ถึงที่สุดแล้วเราไม่หยุด เขาต้องไปฟ้องหลวงตา ถ้าเบรกไม่ได้ แต่ถ้าเป็นประสาเรานะ เราต้องทำให้ถูกต้อง แล้วทุกคนก็คิดอย่างโยมบอกว่าต้องให้คุยกัน ไม่หรอก เรานะไปให้เด็กเล็กๆ ให้มันนั่งเหมือนพวกเราไม่ได้ ไม่ได้ จนกว่ามันจะโตขึ้นมา จิตของคนไม่รู้นะ โยมไปพูดจนตายเขาก็ไม่รู้ แล้วถ้าไม่รู้นะยอมรับผิดแก้ไข เอออย่างนี้คุยกันได้ แต่นี่ไม่รู้แล้วไม่ยอมรับผิด เรารู้อยู่คุยกันไม่รู้เรื่องหรอก ให้คุยจนตายแถไปข้างๆ คูๆ เพราะอะไร เพราะกลัวเสียหน้า คุยไม่รู้เรื่อง ไม่รู้

แต่ถ้าเขาสำนึกผิดคุยกันได้ ถ้าเขาสำนึกนะ ผิดถูกคุยกันด้วยเหตุผล คนเรานี่นะถ้ามันขี่หลังเสือไง อย่างเช่นเราอยากให้คนนับหน้าถือตา เราจะสร้างภาพเราเต็มที่เลย แล้วใครจะชี้ว่าเราผิดไม่ได้เลยนะ ถ้าใครชี้ผิดนะ การ์ดต้องหิ้วปีกมันออกไปเลย ไอ้นี่เข้ามาไม่ได้ เราต้องถูกหมด แล้วทุกคนต้องเยินยอสรรเสริญอย่างเดียว ห้ามใครว่าเราผิดพลาด ถ้าเป็นการสร้างภาพ

แต่ถ้าเป็นธรรมะอย่างหลวงตา ตอนอยู่กับหลวงตาใหม่ๆ นะ หลวงตาจะไปไหนจะมีคนเบิกทางให้ นำทางให้ ท่านไม่ยอม ท่านไม่ยอมนะ ท่านบอกว่าเวลาท่านผ่านไปแล้ว คนมันกำลังเข้าคิวแล้วท่านก็ไปต่อ เดินต้องไปผ่านตรงนั้น ท่านต้องไปต่อวาระ แล้วต้องให้ท่านผ่านไป ถ้าใครไปเบิกทางให้ท่านบอกว่าเวลาเราผ่านไปแล้ว ไอ้คนที่เขาต่อคิวอยู่เขาจะหันมาถุยน้ำลายรดหลัง จะหันมาถุยน้ำลายตามหลัง คือทุกคนไม่พอใจหรอกที่คนมาลัดคิวเรา เห็นไหมนี่คนเป็นธรรม

ท่านไม่ต้องการให้ใครมาให้สิทธิพิเศษ หรือมาดูแลท่านเป็นกรณีพิเศษเลย หลวงตานี่ไม่ยอม ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่ากัน เราจะบอกว่าพระที่ไม่สร้างภาพ เขาไม่ต้องการยกให้ตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นหรอก มันเท่ากัน มันมีสิ่งที่ดีกว่าคือคุณธรรมในใจเท่านั้น มันคือคนเท่ากัน มันคือสิ่งที่สังคมรับรู้เท่ากัน เสมอภาคกัน แต่ในหัวใจเท่านั้น ในหัวใจนี่มีคุณธรรมที่ต่างกัน แต่ถ้าเป็นการสร้างภาพนะ กูต้องนั่งบนหัวพวกมึงหมดนะ เอาหัวมาเรียงๆ ๆ เรียงกันซะ แล้วกูจะนั่งบนหัวพวกมึง

มันคุยกันไม่รู้เรื่องหรอก คุยกันไม่ได้ ไอ้ที่ว่าทำไมไม่มาคุยกัน ก็ไปคุยกันมาพอแรงแล้ว คุยมาเยอะแล้ว ฉะนั้นสิ่งนี้ไม่สนใจ วันนี้เพราะมีคนคิดอย่างนี้ทั้งนั้น แล้วเราพูดอย่างนี้บ่อยแต่มันไม่ได้พูดอัดเทป วันนี้พูดอัดเทปไว้เลย แล้วบอกว่า เราทำลายศาสนา เราทำให้พระเป็นสังฆเภท ไม่ใช่ เราชี้ทางโจร โจรมันกำลังจะปล้น แล้วพวกที่โดนเอาจมูกไปให้เขาเกี่ยว เราบอกเฉยๆ แล้วเราก็ไม่ได้พูดว่าใคร

เราพูดถึงข้อเท็จจริงที่มันเป็น อย่างเช่นกำหนดตัดราก แล้วไม่ตัดรากมาคุยกัน มาโต้แย้งเลยว่ามันคิดออกมาอย่างไร ทำอย่างไร ก็ต้องบอก ก็เมื่อก่อนคนพูด เวลาเราพูดเห็นไหม ว่าหลวงปู่เจี๊ยะท่านบอกเลย กำหนดขี้ ขี้ ขี้ ขี้นี่ก็เป็นสมาธิได้ แล้วมีพระมาถามไอ้ขี้ ขี้ ขี้มันเป็นสมาธิได้ แล้วกำหนดนามรูปนี่มันดีกว่าขี้อีก ทำไมมันเป็นสมาธิไม่ได้ล่ะ กำหนดขี้ ขี้ ขี้มันก็เหมือนกำหนดพุทโธ เพราะกำหนดมาจากใจ

เพราะคนโง่มาก แล้วปฏิบัติไม่เป็นใช่ไหม แล้วอยากปฏิบัติก็ขี้ ขี้ ขี้ มรณานุสติ มรณานุสติกำหนดตาย กำหนดอัฐิ กำหนดอะไร กำหนดคือเกิดจากจิตหมด แต่นามรูปมันไม่ใช่กำหนด มันไม่ใช่ นามรูปนี่ไม่ได้กำหนด นามรูปเห็นไหม เคลื่อนไหวหนอ รู้หนอ รู้ออกไปโน่น ใครกำหนด กำหนดตรงไหน กำหนดอย่างไร รู้หนอ กระทบหนอ แล้วใจมันอยู่ไหน แล้วดูจิตต่างกันตรงไหน รู้หนอ รู้ก็รู้อยู่แล้ว แล้วมันก็ย้อนกลับมา

เราเปรียบเทียบบ่อยแต่โยมไม่เข้าใจ หลวงปู่มั่นสอนไว้ในมุตโตทัย การดื่ม การเหยียด การคู้ การดำรงชีวิตประจำวันให้มีสติสัมปชัญญะพร้อม กินก็รู้ว่ากินแล้ว จิตมันรู้เอง ไม่ต้องสร้างกำหนดรู้อีกชั้นหนึ่ง เรานั่งอยู่ลมพัดมาก็รู้ใช่ไหม คือชีวิตประจำวัน คือปกติเรานี่แหละ ตั้งสติไว้ก็จบ ไอ้นี่พอกระทบแล้วตามรู้ออกไป สร้างภาพอีกภาพหนึ่งซ้อนมา แล้วเลยใครมานะ ว่างๆ แต่รู้อยู่มันตันนะ ว่างๆ แต่ไม่รู้ทำอย่างไร ว่างๆ ว่าง ว่างๆ ว่างๆ

ก็มันถอนรากถอนโคนไปหมดแล้วไง ตัดตอนไปหมดแล้วไง ตัดตอนจิตไปไง สมถะถึงไม่มีความหมายไง สมถะถึงไม่มีความหมายเห็นไหม ทำสมถะนะเดี๋ยวมันจะลงสมถะ พอลงสมถะมันจะเกิดนิมิตนะ อู๋..นิมิตเป็นของไม่ดีนะ อู๋..ต้องวิปัสสนาสายตรงนะ แต่เวลาเกิดสมถะนะ เวลาจิตมันลงสมถะ มันลงถึงจิตนะ มันเห็นของมันนะ อู้ฮู..มันสั่นไหวในหัวใจ มันมีรสชาติ มีความสุขมาก แต่พวกนั้นไม่มี มันเป็นมิจฉาหมดไง ตัดราก !

แต่ถ้ากำหนดมาจากจิต กำหนดจากจิตนะมันจะเกิดอย่างที่ว่า มันจะเกิดนิมิต มันจะเกิดอะไร มันจะเกิด มันไม่ใช่เกิดทุกคน มันจะเกิดต่อเมื่อ เกิดต่อเมื่อจิตดวงนั้นมันได้สร้างบุญกุศลของมัน มันได้ทำ ทำสิ่งใดของมันมา มันมีบาปมีเวรของมัน มันจะเห็นตามนั้น แต่ถ้าเราไม่มี ไม่ได้สร้างเวรสร้างกรรมมา เราทำแต่คุณงามความดีมา พอจิตเราสงบไม่เห็นอะไรเลย สงบเฉยๆ เอ๊อะ สงบนิ่ง รู้สติ รู้พร้อม นิ่ง รู้ตลอด ไม่เห็นนิมิตเลย

สิ่งที่เห็นนิมิตนี้มันไม่ใช่เห็นเพราะกำหนดพุทโธ ไม่ใช่มันเห็นเพราะวิธีการ มันเห็นเพราะเนื้อหาสาระข้อมูลของจิต มันไม่ได้เห็นเพราะวิธีการว่าทำสิ่งใดๆ ถึงจะเห็นนิมิต ไม่ใช่ มันเป็นข้อมูลของจิต จิตนี้มันสร้างดีสร้างชั่วมา มันมีข้อมูลของมัน มันจะเห็นตามนั้น ตามจริตนิสัย ตามความเป็นไปของจิต ไม่ใช่วิธีการปฏิบัติ วิธีการปฏิบัติจะปฏิบัติวิธีการใดก็แล้วแต่

ถ้าจิตเป็นอย่างนั้นคือเห็นเหมือนกันหมด คือที่จิตมันจะเห็นนิมิต มันจะกำหนดวิธีการใดก็เห็นนิมิต ถ้าเห็นนิมิตแล้ว เราค่อยแก้กันไปตามนั้น มันเหมือนโรคภัยไข้เจ็บ มันแก้ตามสมุฏฐานของโรค แล้วไอ้การเป็นโรคมันเป็นไม่เหมือนกัน มันอยู่ที่ร่างกายของใคร ใครจะเป็นโรคไหน แก้ไขไปตามโรคนั้น ไม่ใช่กำหนดพุทโธแล้วไปเห็นนิมิต

ทีนี้พอเขาบอกว่าพุทโธแล้วเป็นนิมิต พุทโธแล้วเป็นสมถะ เขาถึงตัดสมถะทิ้ง ตัดสมถะทิ้งด้วยตรงไหน ตัดสมถะว่าการใช้ปัญญาสายตรง คือต้องใช้ปัญญาตลอด ถ้าใช้ปัญญาแล้วจิตมันจะไม่ลงไปถึงสมถะ มันไม่เกิดนิมิต มันตัดรากตัดโคนจริงๆ นะ ทีนี้การตัดรากของเขา เขาก็สอนของเขานั้นแหละ แต่เขาไม่รู้ว่าเขาตัดราก เขาตัดรากคือไม่ให้ลงสมาธิไง ห้ามลงสมาธิ ห้ามลงสมถะ แล้วสมถะนี่เป็นสิ่งที่กลัวมาก ใครลงสมถะคือผิด

ใครลงสมถะคือผิดนะ ใครปฏิบัติสมถะคือผิด เพราะมันลงสมถะ สมถะเป็นที่เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย เป็นสิ่งที่ไม่ควรปรารภนา เป็นสิ่งที่เข้าไปใกล้ไม่ได้ แล้วมรรค ๘ สัมมาสมาธิอยู่ที่ไหน มรรค ๗ไม่มี ต้องมรรค ๘ แล้วมรรค ๘ คือสัมมาสมาธิ แล้วสัมมาสมาธิมันเกิดบนอะไร เขาก็พูดไง สัมมาสมาธิเกิดบนจิตไม่เกิดบนที่อื่น จับสิ จับประเด็นที่คำสอน ประเด็นของเขาที่สอนห้ามเข้าไปสมถะ แล้วก็บอกว่าสัมมาสมาธิจะเกิดเอง

แต่ ! แต่เพราะอะไรรู้ไหม แต่เพราะว่าอย่าไปเชื่อพระองค์นั้น หรือจะเชื่อพระพุทธเจ้าเพราะพระพุทธเจ้าบอกไว้มรรค ๘ ต้องมีสัมมาสมาธิไง เขาถึงว่า เขาถึงตัดทางทฤษฎีออกไปไม่ได้ ทางทฤษฎีว่าด้วยสัมมาสมาธิตัดออกไปไม่ได้ แต่เขามาสร้างขึ้นมาเองว่าดูจิตไปเฉยๆ แล้วมันจะลงเอง การลงที่ไม่เจาะจงนั้นเป็นสัมมาสมาธิ การเจาะจงเป็นมิจฉาหมด

การเจาะจงการตั้งใจ ทั้งๆ ที่การเจาะจงการตั้งใจนี่เป็นสตินะ การเจาะจงการตั้งใจเจตนาดี สิ่งนี้มันจะเป็นสัมมาถ้าเข้าได้นะ แต่ถ้าเจาะจงไปแล้ว มันมีการเกร็งใหม่ๆ มันจะไม่ชำนาญ มันจะมีการแบบว่าทำให้จิตนี้ลงได้ยาก แต่ถ้ามีการเจาะจงแล้วฝึกฝนบ่อยๆ การเจาะจงจนเราชำนาญเราควบคุมได้หมด การเจาะจงคือเราตั้งเป้าไว้แล้ว เราจะไปได้ตามธรรมชาติของมัน อันนี้จะเป็นสัมมาสมาธิ จะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

ทีนี้เขาบอกว่าห้ามเจาะจง เห็นไหมมันขัดแย้งกันหมดเลย เจาะจงคือสติ ห้ามเจาะจง ถ้าเจาะจงเป็นอัตตกิลมถานุโยค ถ้าไม่เจาะจงจะเป็นสัมมาสมาธิ เอ้า เพราะอะไร เพราะปฏิเสธสมถะ ปฏิเสธทุกอย่าง แต่ในตำรามีอยู่เพราะต้องบอกว่า ต้องทำอย่างนั้นด้วย ต้องมีอย่างนั้นด้วย แต่เพราะตัวเองหนึ่งโดยอุดมการณ์จะปฏิเสธอยู่แล้ว สองไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น

ถ้าเคยรู้เคยเห็นพูดอย่างนี้ไม่ได้ ไม่มีสติจะเกิดสมาธิได้อย่างไร ไม่มีสติจะเกิดสมาธิได้อย่างไรเพราะถ้าไม่มีสติเห็นไหม พอบอกไม่ได้สติปั๊บ เพราะไม่เคยมีสติ ไม่เคยจับต้อง ไม่เคยรับรู้สติ ถึงบอกสติเป็นอนัตตา คืออนัตตาคือไม่มี อนัตตาคือไม่ต้องทำ อืม คำสอนน่ะ คำสอนคำพูดของเขา มันขัดแย้งกันตลอดเลย

แล้วพอหลวงตาเรานะ เริ่มต้นมาเลย “ตั้งสติ” สติต้องการทุกเมื่อ สติต้องการทุกสถาน สติต้องการทุกการกระทำ สติต้องการทุกอิริยาบถ ตั้งสติก่อนเลย พอตั้งสติแล้วอย่างอื่นตามมา ถ้าขาดสติเป็นมิจฉาหมด นี่หลวงตาสอน

เราถึงบอกมันตัดรากนะ พอคำว่าตัดรากของเรามันตัด แต่ประสาเรานะ เราพูดเยอะ เราพูดเยอะพูดหลายแง่หลายมุม ทีนี้พอคำพูดเรา ไอ้คนฟังบ่อยๆ เข้า งงเต๊กเลยนะ หลวงพ่อเดี๋ยวก็ถูกเดี๋ยวก็ผิด หลวงพ่ออัดเขาเรื่อยเลย เดี๋ยวก็ถูก อ้าว..เราก็จะยกภาพให้เห็นชัดๆ ว่าถูกผิดมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ๆ แต่ถ้าจะเอาเคลียร์นี่ มันต้องคุยกันครึ่งวัน ไอ้เราก็ไม่มีเวลาไง เราก็ลัดสั้น เราบอกเลยผิด

แล้วพอไปขั้นของปัญญานะ ไม่ต้องพูดถึงเลยไม่มี ขั้นของปัญญาก็ไม่มี มันไม่เป็นไปตามนั้น มันเป็นโลกียปัญญาไง อย่างที่ว่าพุทธพจน์กูไม่เถียง แต่กูเถียงคนพูดพุทธพจน์ กูไม่เถียงพระพุทธเจ้า กูเถียงมึง มึงที่พูดเรื่องพระพุทธเจ้าน่ะกูเถียงมึง เพราะมึงจำขี้ปากพระพุทธเจ้ามา พุทธพจน์กูไม่เถียงหรอก แต่กูเถียงมึงเพราะมึงอ้าง หมาห่มหนังเสือ มึงจะเอาเสือมาขู่กูไง เอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาขู่ไง กูเอาความรู้ความเห็นมึง พระพุทธเจ้ากูก็เคารพของกูอยู่ แต่มึง มึงพูดอะไร

ถาม ในหนังสือปฏิปทาหลวงปู่มั่น หลวงตาไม่ได้บอกเรื่องเหตุผลของทิศทางเดินจงกรมไว้ เรื่องอยากถามหลวงพ่อครับ ทำไมถึงไม่นิยมในเรื่องเดินที่ทิศใต้

หลวงพ่อ ปัญหานี้หลวงตาท่านเคยบอกว่าหลวงปู่มั่น ท่านก็ลืมถามหลวงปู่มั่นเรื่องทางเดินจงกรม แต่ด้วยความมุมมองของเรา มันก็แบบว่าเพียงแต่ว่าตะวันนะ ตะวันมันจะแทงตาบ้าง อะไรบ้าง ไอ้อย่างนี้เราถือว่า เพราะเวลาธุดงค์ไปเที่ยวไป อย่างเช่นหลวงปู่หลุย เมื่อก่อนเวลาเกิดเวลาฝนตกเราจะเดินจงกรมอยู่แถวชายคา เราก็ว่าเราเดินจงกรมมันพยายาม เพราะว่าเวลาคนเร่งความเพียรนะ

เหมือนกับเรานักกีฬา นักกีฬากำลังจะแข่งขัน มันต้องฟิตตัวเองตลอดเวลา ทีนี้พอร่างกายปล่อยไม่ได้ ถ้าปล่อยความฟิตมันจะไม่มี มันก็ต้องออกกำลังกายตลอด การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาก็เหมือนกัน เวลาจิต เวลาการปฏิบัติมันจะเข้าได้เข้าเข็ม มันจะต้องพยายามหาโอกาสเดินจงกรม ทีนี้เวลาฝนตก หน้าฝนอยู่ในป่าฝนตกทั้งวันๆ ทำอย่างไร เราก็เดินตามชายคา ตามชายคา ตามกุฏิตามชายคา เดินกลับไปกลับมาเพราะมันจะภาวนาทั้งวันๆ เพราะมันเร่งความเพียร

เราก็ว่าโอ้มันก็เต็มที่แล้วนะ แต่พอมาอ่านประวัติหลวงปู่หลุย ท่านบอกท่านเดินจงกรมในกลด ในกลด กลดที่แขวน ท่านเดินจงกรมรอบกลด ในกลดท่านเดินจงกรมได้เลย ทีนี้ถ้าอย่างนี้ปั๊บเราเอามาเทียบตรงนี้ไง นี่เห็นไหม เวลาเราตอบปัญหา เราตอบปัญหาอย่างนี้ คือเอาเหตุผล ในกลดท่านยังเดินจงกรมได้เลย

ฉะนั้นการเดินจงกรมของเรา เราอย่าเอาไอ้เรื่องกรณีอย่างนี้มาทำให้ เราคลอนแคลนไง มันอยู่ที่สถานที่ อยู่ที่พื้นที่ ว่าพื้นที่เราจะหาพื้นที่เดินจงกรมได้มากน้อยแค่ไหน ถ้ามีพื้นที่เราเอาก่อน คือความเพียรเรามาก่อน แล้วไอ้ที่ความขัดแย้ง ความที่ไม่เป็นไปน่ะมันทีหลัง มันเรื่องทีหลังนะ เพราะอย่างพวกเราเดี๋ยวนี้เห็นไหม ความเจริญของสังคม มนุษย์มากขึ้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์สิ่งที่ปกครองดูแลก็ยังมีอยู่ เราไม่เถียงหรอก แต่ไม่เหมือนเก่า

เมื่อก่อนนะมนุษย์น้อยอยู่ มนุษย์เรามีน้อย ป่าเขามีเยอะ สิ่งที่เป็นภูมิธรรมชาติมีเยอะ พวกเทพ พวกอินทร์ พรหมต่างๆ เขามีที่อาศัยมาก เขาอยู่ของเขา แล้วพอคนเข้าไปมันจะไปกวนกัน มันจะมีปัญหา อย่างเช่น เช่นประวัติหลวงปู่มั่นท่านเดินจงกรมที่ถ้ำยาวเห็นไหม พอเดินจงกรม ถ้าเดินแรงหน่อย เห็นไหมพญานาค พญานาค พวกเทพเขาอยู่น่ะ พระอะไรเดินจงกรมยังกับม้าวิ่ง พอเดินจงกรมยังกับม้าแข่ง เพราะว่าเดินจงกรมไง เห็นไหมเขาติ

ทีนี้หลวงปู่มั่นท่านรู้วาระจิต นี่รู้วาระจิตต้องรู้อย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจิตส่งออก จิตเคร่งเกินไป จิตอ่อนเกินไป ไอ้นั่นมันส่งออกหมด นี่หลวงปู่มั่นท่านรู้ความคิดเลยนะว่า พญานาคเขาติแล้ว กลัวเป็นบาปเป็นกรรมกับเขา เห็นไหมสงสารเขานะ ก็เดินจงกรมให้ช้าหน่อย เบาหน่อย พญานาคก็บอกเลย เอ้อ..สมณะองค์นี้เดินเหมือนคนป่วย เดินแรงไปมันก็ติ เดินเบาๆ กลัวจะไปกระเทือนมัน มันก็ติ เห็นไหม อยู่ในป่ามันจะมีอย่างนี้

หลวงปู่มั่นท่านจะเจออย่างนี้เยอะมาก หลวงตาท่านเล่า เช่นหลวงปู่ชอบอย่างนี้ เวลาเสือมา เสือเป็นเสือเทพ พอเสือมันมาอยู่ข้างๆ พอบอกว่า เอ้..ถ้าจะไปหาอยู่หากิน เป็นความคิดนะ คิดในใจ ทำไมเสือมันรู้ล่ะ มันคำรามเลย พอคำรามหลวงปู่ชอบท่านทันไง เอ้อ..ถ้าอย่างนี้จะมาดูแลกันมาปกป้องกัน ดูแลกันก็ไม่เป็นไร ก็ตามสบาย เห็นไหมมันเงียบเลยเห็นไหม ทำไมมันรู้ รู้วาระจิตเขาต้องรู้อย่างนี้ รู้ถึงความคิดเหตุผล คิดเรื่องอะไร เหตุผลอะไร แล้วโต้ตอบกันนะ ถึงรู้วาระจิต ไอ้นี่เกร็งเกินไป เคร่งเกินไป คิดแล้วไม่คิด เวรกรรม ! เราไม่เชื่อเลยนะ เราไม่เชื่อเลย

ทีนี้เวลาทางเดินจงกรมเห็นไหม เราถึงย้อนมาตรงนี้ ย้อนมาตรงที่ว่าอย่างเช่นตรงนี้ถ้าจะให้ถูกหมดไปเดินตรงนี้ ถ้าให้ถูกหมด มึงต้องเดินตากแดดทั้งวันน่ะ แต่ถ้าไปเห็นต้นไม้อยู่แต่ร่มๆ มันจะผิดไม่ผิด ไอ้นี่ร่มนะ เอาร่มแล้ว เอาร่มไว้ก่อน เอาประโยชน์ไง เพราะที่หลวงปู่มั่นพูดก็เพื่อประโยชน์ แล้วยิ่งมาหลวงปู่ขาว หลวงปู่ขาวนี่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟังเลย อยู่ที่ถ้ำกลองเพล มีทางจงกรม ๓ เส้น เช้าขึ้นมาเดินจงกรมถวายพระพุทธ กลางวันเดินถวายพระธรรม ตอนเย็นเดินถวายพระสงฆ์

วันหนึ่งเดินจงกรม ๓ รอบ ๔ รอบ มีทางจงกรม ๓ เส้นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหมนี่เป็นอุดมคติของแต่ละองค์ มันไม่เหมือนกัน อย่างเช่นหลวงปู่ชอบ อาจารย์จันทร์เรียนพูดให้ฟังอยู่ว่า หลวงปู่ชอบเดินจงกรมทั้งวันทั้งคืนเลย เดินจงกรมชอบทางเดินจงกรม แต่อาจารย์จันทร์เรียนบอกท่านชอบนั่ง ท่านนั่ง ๗-๘ ชั่วโมงเห็นไหม นิสัย อาจารย์เดินจงกรมเก่งมาก แต่ลูกศิษย์นั่งดีมาก ทีนี้ท่านนั่งดีมาก ๒ องค์มานั่งคุยกันก็ต้องใครถูกใครผิด

นี่ไงเวลาพระอรหันต์เถียงกันว่าใครถูกใครผิดนี่ไง มันเป็นกิริยาเป็นนิสัย แต่ความจริงสิ่งที่เป็นพระอรหันต์สำคัญที่สุด คือมรรคญาณ เอาตัวชำระกิเลสนั้นสำคัญที่สุด อันนี้เราพูดเรื่องนี้ พูดเรื่องที่ใครจะติใครจะเตียนนะ มันเรื่องของเขา มันอยู่ที่มุมมอง เหมือนเราผู้ใหญ่ เราผู้ใหญ่เราเห็นว่า วัยรุ่นที่มันเที่ยวเล่นกัน มันก็ว่ามันทำถูกต้องนะ พ่อแม่เห็นเลยว่าลูกเราใช้เวลาสูญเปล่า

ในปัจจุบันเราดูการปฏิบัติมันสูญเปล่าไง ถ้ามันสูญเปล่าแล้วนะ มันเสียเฉพาะเขาแล้ว เราจะไม่พูดเลย แต่นี่มันจะมาถอนรากถอนโคนพระป่าเรา ไอ้ตรงนี้ที่เราพูดเพราะพระป่าครูบาอาจารย์เรามา หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ กว่าท่านจะทำกองทัพธรรม กว่าประชาชนจะเชื่อถือ พอประชาชนเขาเชื่อถือขึ้นมา มันถึงเป็นที่ไว้วางใจของสังคม

พอเป็นที่ไว้วางใจของสังคมเห็นไหมก็บอกว่าเป็นลูกศิษย์พระป่า เป็นลูกศิษย์ที่ครูบาอาจารย์ค้ำประกันมาให้เขาเชื่อถือ แต่คำสอนน่ะมันไปไหนเห็นไหม ไอ้หนังเสือที่ห่มน่ะอ้างพระป่าหมดเลย แต่ให้ดูจิตแล้วไม่ให้พุทโธ ไม่ต้องตั้งสติ สติ สมาธิ เป็นอนัตตา ปัญญาจะเกิดนะ ให้เห็นความคิด แล้วความคิดมันดับ พยายามจำความคิดนั้นไว้ จำความคิด จำสภาวะให้แม่นๆ แล้วปัญญามันจะเกิดเอง ปัญญามันจะเกิดจากความจำอันนั้น โอ้โฮ..อย่างนี้เหรอ หมดนะหมด

แต่เวลาหลวงตาสอนเห็นไหม ทำความสงบของใจแล้วออกวิปัสสนา พอขั้นของปัญญาไม่มีขอบเขต ปัญญามันจะไปได้ได้ยิ่งกว่าเรดาร์ มันไปได้หมดเลย ครอบคลุมจักรวาลเลย กิเลสมันอยู่ไหน มันตามรื้อ ตามค้น ตามหา ตามล้วง ตามควัก ตามหมดเลย มันคนละเรื่อง ! มันคนละเรื่องเลย ! นี่ไงเราถึงบอกมันจะถอนรากถอนโคนไง ถ้าคนอื่นมันไม่มีหลักมีเกณฑ์ มันก็ไม่พูดอย่างนี้ นี่พูดถึงบอกว่าหาว่าเราออกเว็บไซต์มาเพื่อจะโจมตีบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ไม่มี

เราออกเว็บไซต์มาเพราะว่าสิ่งที่เราเทศนาว่าการ หรือว่าในธรรมะเพราะเราศึกษาจากครูบาอาจารย์มาหลายองค์ แล้วเราศึกษาจากครูบาอาจารย์มาเยอะ แล้วครูบาอาจารย์อะไรต่างๆ เห็นไหม ขออย่างเดียวขอให้มันเป็นตามข้อเท็จจริงนั้น แล้วตามข้อเท็จจริงนั้น มันก็ตรงตามข้อเท็จจริงนั้น ความจริงมันก็ต้องลงกับความจริงได้ ความจริงมันไปกลัวอะไร ความจริงไปกลัวอะไรล่ะ ความจริงก็ต้องลงกับความจริง ไม่ต้องกลัวหรอก ขอให้เป็นความจริงเถิด ฉะนั้นความจริงแล้วเต็มที่เลย

แล้วเราพูดไปถ้าเป็นความปลอมนะ โอ้โฮ..เราเอาขี้นี่ออกไปขายท้องตลาดนะ แหมใครจะกินขี้วะ ไอ้คนเอาขี้ไปขาย ไอ้คนนี้จะหน้าแตกนะ เราเอาขี้นี่หว่านไปท้องตลาดเลย เหม็นไปทั่วจักรวาลเลย แล้วดูสิไอ้คนขี้เอาไปป้ายเขา คนนั้นมันจะชั่วขนาดไหน ไม่ ! เราไม่คิดอย่างนั้นเลย แต่ ! แต่ประสาเรานะโยมฟังให้ดีนะ โยมทำแบบว่าธรรมดาสังคมมันต้องมี เขาจะพูดอะไรมาโยมก็ฟังไว้ มันจะเป็นอย่างนี้

สรุปตรงที่หลวงตาว่าคนโง่มากหรือคนฉลาดมาก คนโง่ติเตียนคนพูดอย่าไปหวั่นไหวกับมัน แต่คนฉลาดพูดมันต้องคิด เรายังคิดว่า เรายังคิดว่าเรื่องแค่นี้นะเป็นเรื่องแค่ปลายเหตุ ปลายเหตุหมายถึงว่าเขาเพิ่งเริ่มจะตั้ง ตั้งหาคนมา เขาจะสืบว่าใครมีอยู่ใกล้ชิดเรา ใครมีบุญคุณกับเรา เขาจะไปล็อบบี้คนนั้นมาขอเรา อ้าว..คอยดูสิ เขาจะคอยจี้เข้ามาเลยว่าใครอยู่ใกล้ชิดเรา แล้วจะไปเอาคนนั้นน่ะมาเหยียบหางเราไว้ มึงอย่าเห่า ไอ้นี่คือความคิดเขานะ

นี่เกมส์ของโลกมันก็ต้องเป็นอย่างนั้น แล้วพวกโยมที่ใกล้ชิดเราจะโดนจี้ทุกคนน่ะ ใครที่เข้ามาหาเรา ขอร้องไปบอกไอ้หงบทีอย่าพูด อ้าว..โดนทุกคน เพราะมันเป็นการเอาตัวรอดของเขา โดนทุกคน แต่ของเรานะ มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ของเราเอาความจริง ถ้าเป็นความจริงคือเป็นความจริง ถ้าไม่เป็นความจริงไม่ฟัง เอวัง